ที่ตั้งวัดตำบลประอาว อำเภอเมือง จังหวัดอุบลราชธานี
วัดข่าโคมเป็นวัดเก่าแก่สร้างมาไม่ต่ำกว่า ๕๐๐ ปี โดยมีพระภิกษุผู้ทรงคุณวุฒิหลายรูป
ประวัติการดำเนินงานการแพทย์แผนไทยในวัด
สิ่งที่เกี่ยวข้องกับการแพทย์แผนไทยในวัดแห่งนี้คือ ศูนย์บำบัดผู้ติดสุราและยาเสพติด ศูนย์บำบัดผู้ติดสุราและยาเสพติด
ในวัดข่าโคม ตั้งขึ้นเมื่อวันที่ ๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๖ เริ่มต้นจากการพูดคุยกันของผู้นำชุมชน ที่เห็นว่าคนในชุมชนติดเหล้า
ติดการพนันกันมาก ทำให้เกิดปัญหาครอบครัว และปัญหาสังคมต่างๆตามมา ในฐานะผู้นำชุมชน จึงได้ชวนกันมาปรึกษา
หารือกันที่วัดข่าโคม พระครูสุวรรณกิจโสภณ ซึ่งเป็นที่ปรึกษาหลักในขณะนั้นจึงเสนอว่า ให้กลับไปชวนคนที่ติดสุราและติด
การพนันให้ออกมาที่วัด แล้วถามว่าจะพากันเลิกอบายมุขเหล่านั้นได้ไหม ปรากฏว่าคนที่ออกมาในครั้งนั้นประมาณสิบกว่าคน
ก็บอกว่าอยากจะเลิก ท่านจึงพาประกอบพิธีกรรมตั้งสัตย์ปฏิญาณตนต่อหน้าครูบาอาจารย์ ต่อหน้าพระประธาน ว่าจะเลิกกี่เดือน
กี่ปี หรือเลิกตลอดชีวิต
ในช่วงเริ่มต้น ไม่ได้มีพิธีกรรมอะไรมากมาย ทำแบบง่ายๆ คือ ให้ผู้ที่ตั้งใจเลิกสุราและการพนันดื่มเพียงน้ำมนต์ที่ผ่านการ
สวดมนต์ในพิธีทั่วไปเท่านั้น ปี พ.ศ. ๒๕๓๘ พระครูสุวรรณกิจโสภณ ได้เข้ารับการอบรมโครงการสงเคราะห์ผู้อยากเลิกดื่มสุรา
และยาเสพติดทุกชนิดแห่งประเทศไทย และได้เข้าอบรมที่ศูนย์สมุนไพร ในโครงการพระราชดำริและอบรมวิธีการใช้สมุนไพร
ในโครงการธรรมะรักษา
ภายหลังจากที่ไปอบรมกลับมา ท่านจึงได้เริ่มนำยาสมุนไพรเข้ามาประกอบกับพิธีกรรม ซึ่งประกอบด้วย สมุนไพรเบอร์ ๑
ชื่อ พญาไฟ หรือฮางฮ้อน (รสร้อน) เบอร์ ๒ ชื่อ พญารากเดียว หรือโสมเทวดา (รสขม) และเบอร์ ๓ ชื่อ โรคทรงดอกแดง
หรือนางแซ่ง (รสเฝื่อน) โดยฝนรากยาแต่ละเบอร์ให้เป็นผงละเอียด ตามสัดส่วนคือ เบอร์ ๓ สามส่วน เบอร์ ๒ สองส่วน เบอร์ ๑
หนึ่งส่วน ใช้น้ำสะอาดประมาณ ๑ แก้ว ฝนเบอร์ ๓ ให้ขุ่นกว่าทุกตัว การดื่มครั้งเดียวจะช่วยให้ผู้ดื่มเลิกสุราได้นานกว่าสามเดือน
และส่วนใหญ่เลิกได้ตลอดชีวิต
เมื่อนำสมุนไพรเข้ามาใช้ร่วมด้วย ท่านพระครูพบว่าได้ผลดีกว่าการสาบานตนเพียงอย่างเดียว นอกจากนี้ผู้ที่สนใจเข้ามาเลิก
เหล้า บางคนยังขอบูชายาสมุนไพรนี้กลับไปให้ลูกหลานกินที่บ้านด้วย
แนวคิดตามหลักพระพุทธศาสนา
พระครูสุวรรณกิจโสภณกล่าวว่า พระสงฆ์ควรมีบทบาทในการฟื้นฟูสมรรถภาพร่างกายและจิตใจผู้ติดยาเสพติด โดยใช้การ
แพทย์แผนไทย (ยาสมุนไพร) ควบคู่กับหลักธรรม ใช้วิธีการทำสมาธิ วิปัสสนากรรมฐาน สั่งสอนหลักธรรมทางศาสนาแก่ผู้ติด
ยาเสพติดที่เคยหลงผิดให้กลับตัวกลับใจ หันกลับมาเป็นบุคคลที่ดีมีคุณภาพของสังคมต่อไป
ส่วนหลักธรรมที่ใช้ประกอบการรักษา ใช้หลักธรรมเบญจศีล หรือศีล ๕ เพราะในการอยู่ร่วมกันในชุมชนและสังคมนั้น จำเป็นที่แต่ละคนจะต้องเกิดสำนึกในการรับผิดชอบต่อสังคมที่เราอยู่ หรือการทำตนให้เป็นคนเต็มคน จึงจะเรียกว่าเป็นมนุษย์
หรือเป็นคนเต็มร้อย ดังนั้นเพื่อให้การอยู่ร่วมกันดำเนินไปด้วยความสุข สงบ เรียบร้อย ไม่สร้างความเดือดร้อน ก่อเวรก่อกรรม
ต่อกัน จำเป็นต้องมีหลักธรรมที่ทำให้เกิดความผาสุกขึ้นในสังคม นั่นก็คือหลักธรรมเบญจศีลเบญจธรรม อันได้แก่
๑. ปาณาติปาตา เวรมณี (สิกฺขาปทํสมาทิยามิ) เว้นจากการฆ่าสัตว์ตัดชีวิตทั้งปวง
๒. อทินนาทานา เวรมณี (สิกฺขาปทํสมาทิยามิ) เว้นจากการลักทรัพย์ ฉ้อราษฎร์บังหลวง เอาเปรียบคนอื่นด้วยประการทั้งปวง
๓. กาเมสุมิจฺฉาจารา เวรมณี (สิกฺขาปทํสมาทิยามิ) เว้นจากการประพฤติผิดในกามทั้งหลาย
๔. มุสาวาทา เวรมณี (สิกฺขาปทํสมาทิยามิ) เว้นจากการพูดเท็จ คำหยาบ หรือพูดส่อเสียด รวมถึงการพูดให้คนแตกสามัคคี
กันด้วย
๕. สุราเมรยะ มัชชะปมาทัฏฐานา เวรมณี เจตนาเป็นเครื่องเว้นจากการดื่มน้ำเมาอันเป็นที่ตั้งแห่งความประมาท อันได้แก่ น้ำสุรา
เมรัย เครื่องดื่มมึนเมาอื่นๆ และการเสพยาเสพติดอื่นๆ เช่น ฝิ่น เฮโรอีน กัญชา ยาบ้า หรือแม้แต่บุหรี่
นอกจากนี้แล้วก็เป็นผู้ประกอบด้วยสติสัมปชัญญะในการประกอบกิจการทั้งปวง และเป็นผู้ไม่ประมาทในชีวิตในการงาน ในวัย
ในเพศ เพราะถือว่าสุราเป็นบ่อเกิดแห่งความเสียหายหลายๆ ด้าน ไม่ว่าจะเป็นเสียสุขภาพ เสียทรัพย์สมบัติ เสียการเสียงาน และ
มีโอกาสพลาดไปทำผิดศีลข้ออื่นอีกได้ด้วย ถ้าปฏิบัติตามศีล ๕ ได้เคร่งครัด ชีวิตก็จะพบแต่ความสุข สงบ